รักษาผมร่วงด้วย LED vs LLLT วิธีไหนดีกว่ากัน?

LED vs LLLT วิธีไหนดีกว่ากัน?


          คุณใช่มั๊ย? ที่พบปัญหาเรื่องผมบาง ศรีษะล้าน ถ้าใช่ คุณมาถูกทางแล้ว ที่พบเรา หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหาผมร่วง คุณอาจเคยได้ยินเกี่ยวกับการบำบัดด้วยแสงเลเซอร์และ LED เพื่อช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ทั้งสองวิธีนี้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของการทำงานและประสิทธิภาพ การเข้าใจความแตกต่างระหว่างทั้งสองจะช่วยให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง

 รักษาผมร่วงด้วย LED vs LLLT แสงระดับต่ำ (Low-Level Light Therapy หรือ LLLT) ?

 

 รักษาผมร่วงด้วย LED vs LLLT แสงระดับต่ำ (Low-Level Light Therapy หรือ LLLT) ?

 

          LLLT เป็นวิธีการรักษาผมร่วงที่ผ่านการทดสอบทางคลินิกและได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) โดยใช้วิธีการฉายแสงที่มีความยาวคลื่นเฉพาะเจาะจง ซึ่งมักอยู่ในช่วง 630-670 นาโนเมตร (nm) เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในหนังศีรษะ หลักการสำคัญของ LLLT เรียกว่า “การปรับสมดุลด้วยแสง” (photobiomodulation) ซึ่งแสงจะซึมผ่านผิวหนังไปยังรูขุมขน ช่วยกระตุ้นและฟื้นฟูการทำงานของรากผมให้ดีขึ้น

จากการศึกษาพบว่า LLLT สามารถ :

  • ยืดระยะการเจริญเติบโตของเส้นผม (ระยะ anagen) ให้ยาวนานขึ้น
  • เพิ่มความหนาและความหนาแน่นของเส้นผมในผู้ที่มีปัญหาผมร่วงทั้งในผู้ชายและผู้หญิง
  • ลดการอักเสบรอบ ๆ รูขุมขน ซึ่งอาจช่วยชะลอหรือหยุดการหลุดร่วงของเส้นผมได้

          หลักฐานที่สนับสนุน LLLT มีแนวโน้มที่ผมจะเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะจากการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุมและปกปิดข้อมูล (double-blind randomized controlled trials) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าจำนวนเส้นผมของทั้งชายและหญิงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

■ หมวก LED (LED Caps) ต่างจากอุปกรณ์ LLLT ยังไง?


          หมวก LED ซึ่งใช้ไดโอดเปล่งแสง (Light Emitting Diodes) มักถูกนำมาโฆษณาควบคู่กับอุปกรณ์ LLLT แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองมีกลไกและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันมาก อุปกรณ์ LLLT ใช้เลเซอร์ที่ให้แสงเข้มข้นและตรงเป้าหมาย ส่วนหมวก LED ใช้แสงจาก LED ที่กระจายออกไปกว้างกว่า ทำให้ความแม่นยำและพลังงานน้อยกว่า

จุดแตกต่างสำคัญมีดังนี้:

  • การซึมลึกของแสง:
    • เลเซอร์ใน LLLT สร้างแสงที่มีความสม่ำเสมอ (coherent light) สามารถซึมลึกถึงรูขุมขนในหนังศีรษะได้ดีกว่าจึงกระตุ้นรากผมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    • แสงจาก LED ไม่สม่ำเสมอ (incoherent light) มักกระจายตัว ทำให้ซึมลึกได้น้อยกว่า และส่งผลต่อรูขุมขนได้ไม่มาก
  • พลังงานที่ปล่อยออกมา:
    • อุปกรณ์ LLLT มีพลังงานสูงกว่า ทำให้มั่นใจได้ว่ารูขุมขนได้รับการกระตุ้นอย่างเพียงพอ
    • หมวก LED แม้จะราคาถูกกว่า แต่พลังงานมักไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นการงอกของผมได้อย่างเห็นผลชัดเจน
  • หลักฐานทางวิทยาศาสตร์:
    • LLLT มีงานวิจัยทางคลินิกมากมายรองรับว่าได้ผลกับผมร่วง
    • ส่วนหมวก LED มีข้อมูลจำกัด โดยการวิจัยเกี่ยวกับ LED มักเน้นเรื่องสุขภาพผิวหรือการสมานแผล ไม่ใช่การงอกของเส้นผม

 

■ LLLT vs. LED: เปรียบเทียบข้อดีและข้อจำกัด


 

คุณสมบัติLLLT (เลเซอร์พลังงานต่ำ)LED (แสงไดโอดเปล่งแสง)
ความเข้มแสงสูงกว่าต่ำกว่า
การทะลุผ่านผิวหนังลึกกว่าตื้นกว่า
ประสิทธิภาพกระตุ้นรากผมได้มากกว่ากระตุ้นการไหลเวียนเลือด
การรับรองจาก FDAได้ผลรับรองยังไม่มีผลรับรอง
การใช้งานใช้ในหมวกเลเซอร์/หวีเลเซอร์ใช้ผ่านเครื่องมือต่างๆ

 


หากเทียบการบำบัดด้วย “แสงสีแดง” (Red Light Therapy) ?

 

 

          การบำบัดด้วยแสงสีแดงใช้แสงในช่วงสเปกตรัมสีแดง (ประมาณ 630-660 นาโนเมตร) เพื่อสุขภาพ เช่น ฟื้นฟูผิว ลดอาการปวด หรือลดการอักเสบ หลังจากการปลูกผม มักพบในอุปกรณ์อย่างแผงไฟหรือเครื่องพกพา ถึงแม้ว่าการบำบัดด้วยแสงสีแดงจะมีแนวโน้มที่ดีในด้านเหล่านี้ แต่สำหรับการรักษาผมร่วงนั้น ยังไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัด อุปกรณ์แสงสีแดงทั่วไปที่ขายตามท้องตลาดมักไม่มีพลังงานหรือความแม่นยำเพียงพอที่จะซึมลึกถึงรูขุมขนได้ แสงจาก LED ที่กระจายตัวในอุปกรณ์เหล่านี้จึงไม่น่าจะมีผลต่อการทำงานของรากผมมากนัก

■ การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์

          การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์ระดับต่ำ (Low-Level Laser Therapy หรือ LLLT) ได้รับความนิยมในการดูแลเส้นผม เนื่องจากช่วยหยุดผมร่วง กระตุ้นให้ผมหนาขึ้น และทำให้ผมใหม่งอกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการใช้หมวกเลเซอร์ที่สามารถใช้ได้ง่ายที่บ้าน

■ ความแตกต่างระหว่างเลเซอร์และ LED

รักษาผมร่วงด้วย LED vs LLLT แม้ว่าทั้งสองวิธีจะใช้แสงในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม แต่มีความแตกต่างที่สำคัญในเรื่องของวิธีการทำงาน:

  • แสงที่ใช้: เลเซอร์ใช้แสงที่มีความสอดคล้อง (โฟกัสแสงได้ดี) ทำให้สามารถส่งพลังงานไปยังรูขุมขนได้ลึกกว่า ส่วน LED ใช้แสงที่กระจายและไม่สอดคล้อง ทำให้การเจาะลึกเข้าไปที่รูขุมขนน้อยกว่า

  • ความยาวคลื่น: เลเซอร์สามารถส่งแสงที่มีความยาวคลื่นที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกระตุ้นรูขุมขน (680 นาโนเมตร) ได้ดีกว่า แต่ LED จะมีหลายความยาวคลื่น จึงไม่สามารถเข้าถึงรูขุมขนได้ดีเท่าเลเซอร์

  • พลังงาน: เลเซอร์สามารถให้พลังงานได้มากกว่า LED ถึง 150 เท่า ทำให้สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้ดีกว่า

■ การบำบัดด้วยแสง LED

          LED ใช้แสงสีแดงหรืออินฟราเรดใกล้เพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในหนังศีรษะและรูขุมขน ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ลดการอักเสบ และอาจช่วยยืดระยะการเจริญเติบโตของผมได้ แม้ว่าจะสะดวกและปลอดภัย แต่การบำบัดด้วย LED มักจะมีประสิทธิภาพต่ำกว่าเลเซอร์

■ การบำบัดด้วยแสงเลเซอร์

          การบำบัดด้วยเลเซอร์ระดับต่ำ (LLLT) เป็นวิธีที่ได้รับการยอมรับในการรักษาผมร่วง โดยใช้เทคโนโลยีที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะเวลาอันสั้น ผลการศึกษาพบว่า การใช้แสงเลเซอร์สามารถเพิ่มการเจริญเติบโตของเส้นผมได้ถึง 39% ในเวลาเพียง 16 สัปดาห์

ข้อสรุปเลเซอร์หรือ LED อันไหนดีกว่า?

       รักษาผมร่วงด้วย LED vs LLLT สรุปได้ดังนี้ เลเซอร์ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วและชัดเจน เพราะให้พลังงานสูงกว่าและสามารถกระตุ้นรูขุมขนได้ลึกกว่า แต่ LED เหมาะกับผู้ที่มีงบประมาณจำกัดหรือมีผมร่วงไม่รุนแรง เนื่องจาก LED ราคาถูกกว่าและให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่าเลเซอร์ สุดท้ายการเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ความรุนแรงของปัญหาผม, งบประมาณ, และ เวลา ที่คุณพร้อมจะรอผลลัพธ์

 


REFERNT :  Red LED Light Or Laser Therapy For Hair Loss: Which Technology Is Best?